มันเป็นครั้งแต่มันก็ทำให้ผมต้องบันทึกไว้ในความทรงจำไปตลอดชีวิต พูดไปก็คงไม่มีใครเชื่อผมหรอกนะครับ แต่เอาเถอะใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อผมก็จะเล่าในสิ่งที่ผมเห็นมาทั้งหมดนั่นแหล่ะครับ
ผมเห็นมากับตาผมเอง แถมยังได้นั่งคุยกันเป็นเวลานานอีกด้วยในขณะที่ผมนั่งคุยนั้นผมไม่ได้คิดว่าเธอเป็น "ผี" ผมคิดว่าเธอเป็นคน โธ่..ถ้าผมรู้ว่ากำลังนั่งคุยอยู่กับผี โฮ่ย ผมไม่เล่นด้วยหรอก
วันนั้นเป็นวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2547 คลื่นยักษ์ลูกนี้ได้สร้างความสูญเสียทำให้มีคนตายเป็นจำนวนมาก ผนังปูน ประตูไม้หักสะบั้นเพราะแรงกระแทกของคลื่นที่โถมเข้ากระทบอย่างรุนแรง
แม้ว่าคลื่นยักษ์สึนามิมันจะหันหน้ากลับสู่ทะเลพร้อมกับกวาดเอาชีวิตของคนและสัตว์เลี้ยงรวมถึงทรัพย์สินต่างๆ ลงไปด้วยก็ตาม แต่มันก็ได้ทิ้งร่องรอยแห่งความเจ็บปวดไว้ที่ยากจะลืม
ผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าห้องที่เคยหรูหราจะเปลี่ยนสภาพกลายเป็นห้องเก็บศพในช่วงระยะเวลาไม่กี่นาที ภาพที่ผมเห็นเบื้องหน้าเป็นภาพของคนจำนวนมากนอนนิ้งตัวงอ เสื้อผ้าที่สวมใส่บางคนหลุดลุ่ยเหลือแต่กางเกง
ตามความเชื่อของชาวพุทธบางกลุ่มว่าหลังจากชีวิตดับลงกว่าจะรู้ตัวเองว่าตายแล้วนั้นต้องสามวันเจ็ดวันผ่านไป ส่วนจะเป็นความจริงหรือไม่ก็มิอาจจะรับรองได้
ผมเข้าไปหาหลักฐานว่าผู้ตายนั้นเป็นใคร ถ้าถามผมว่ากลัวไหมผมบอกได้เลยว่าไม่กลัวมีแต่ความสงสารและสังเวชใจจริงๆ เท่านั้นและที่หน้าสลดใจที่สุดคือมีศพผู้หญิงคนหนึ่งอายุประมาณ 30 ปี ถือขวดนมใบหน้าฟุบอยู่กับเปลของลูกน้อย แต่ในเปลนั้นไม่มีเด็กอยู่ พวกเราค้นหาร่างของเด็กจนทั่วห้อ่งแต่ก็ไม่พบเลยสั่งให้ทีมงานออกค้นหาร่างเด็กน้อยผู้น่าสงสารอยู่หลายวันก็ไม่พบทังภายในโรงแรมและรอบนอกคาดว่าน่าจะไปติดอยู่ที่ใดที่หนึ่ง
แม้จะเหนื่อยสักเพียงใดก็ต้องทำ เพราะเราอุทิศตัวเพื่อรับใช้สังคมแล้วพอผมล้มัวลงนอนบนเตียงผ้าใบด้วยความอ่อนล้าหนังตากำลังจะปิดร่างกายต้องการพักผ่อน เวลานั้นกำลังครึ่งหลับครึ่งตื่น
พลันก็มีเสียงเด็กร้องไห้แว่วมาเสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ จผททนไม่ไหวจึงลุกขึ้นนั่งและคิดไปว่าเราคิดเรื่องเด็กน้อยนั้นมากไปหรือเปล่าหูจึงแว่วแต่ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะเสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงเด็กร้องไห้จริงๆ หูผมไม่ได้ฝาด
เพื่อความมั่นใจจึงได้ปลุกน้องอาสาสมัครคนหนึ่งที่นอนอยู่ข้างๆ ให้ตื่นผมถามว่าได้ยินเสียงเด็กร้องไหม..? คำตอบของน้องคนนั้นคือไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ผมจึงล้มตัวลงนอนต่อ คิดว่าหูแว่วไปเอง
พอจะหลับก็มีเสียงเด็กร้องไห้ขึ้นมาอีก แต่คราวนี้เสียงร้องนั้นมาอยู่ใกล้ๆ เหมือนมาร้องอยู่ข้างๆ จนผมต้องออกไปดู ผมเดินไกลออกไปจากที่พักพอประมาณเสียงเด็กร้องก็หายไป
ในขณะที่จิตของผมมันเตลิดไปไกล พลันก็ปรากฏร่างของหญิงสาววัยกลางคนอยู่เบื้องหน้าไม่กี่เมตร อยู่ในชุดนอนยืนหันหน้าออกไปทางทะเลที่เงียบสงบ ผมแปลกใจว่าทำไมเธอถึงมายืนทำอะไรตรงนี้ผมจึงถามเธอว่า
"คุณพักที่ไหนหรือครับ ดึกป่านนี้ทำไมยังไม่นอน" เธอไม่ตอบแต่ชี้มือไปยังคลื่นทะเลที่ซัดสาดเข้ากระทบหาดทราย ผมสงสัยว่าเธอหมายถึงอะไรจึงได้ถามเธอต่อว่า "มีอะไรหรือครับ"
หญิงสาวในชุดนอนปล่อยโฮโฮ..ออกมาทันที ผมจึงปลอบให้เธอทำใจให้สบาย จากนั้นเธอเงยหน้าและหันหน้ามาทางผม
"ลูกของดิฉันกำลังหิว แต่ฉันยังไม่ได้ป้อนนมลูกก็ถูกน้ำพัดลงทะเลช่วยลูกของดิฉันด้วยนะคะ..ฮือ ฮือ" ช่วงจังหวะนั้นผมคิดอะไรไม่ออกเพราะไม่รู้จะปลอบเธอยังไงดี เพราะเธอได้รับการกระทบกระเทือนจิตใจอย่างหนัก ได้แต่ปลอบใจเธอว่า
"ใจเย็นๆ ครับ ผมจะหาทางช่วยลูกของคุณเอง" แต่ผู้หญิงคนนั้นยังร้องไห้จะขาดใจไม่ยอมหยุด คุณจะให้ผมช่วยอะไรได้บ้างเพราะมันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว ผมมีทีมงานที่จะคอยช่วยเหลือคุณได้ ผมพูดให้ความหวัง แต่เธอก็ยังคงร้องไห้แต่แปลกที่เสียงของเธอรู้สึกเย็นยะเยือก ผมหันไปอีกทีก็พบว่าเธอไม่อยู่แล้วผมคิดว่าเธอคงจะกลับบ้านไปแล้ว
"ผมเดินไปริมหาดจนเวลาผ่านไป 24.15 น. แล้วสิ่งที่ผมคิดไม่ถึงก็เกิดขึ้น เมื่อปรากฎร่างเด็กน้อยอายุราว 2 ขวบ ถูกคลื่นซัดมาติดชายฝั่ง สภาพขึ้นอืดแต่เสื้อผ้ายังอยู่ครบ ผมจึงไปเรียกเพื่อนกู้ภัยพร้อมผ้าขาวมาห่อศพ ผมคิดถึงเรื่องราวที่ผู้หญิงคนนั้นออกมาตามหาลูกที่หายไปเมื่อสักครู่
เมื่อผมขอตรวจดูรายชื่อแขกที่มาพักปรากฎว่าผู้หญิงที่ถือขวดนมคือนาง มีนา อายุ30 ปี เธอมาพักกับสามีและลูกอายุ 2 ขวบ แต่ในขณะเกิดเหตุสามีของเธอออกไปทำธุระในเมืองก็เลยไม่เป็นอะไรแต่เธอกับลูกได้ถูกคลื่นซัดจนเสียชีวิตเพราะความโหดร้ายของคลื่นยักษ์สึนามิ
เป็นอันว่าผู้หญิงที่ปรากฏตัวในชุดนอนนั้นที่แท้เธอคือวิญญาณของนาง มีนา ออกมาตามหาลูกที่โดนคลื่นสึนามิสูบลงสู่ทะเลนั่นเองเธอคงรู้ว่า ชินวร เป็นหัวหน้ากู้ภัยคงช่วยลูกของเธอขึ้นจากทะเลได้
ในวันเดียวกันกับวันที่ผมได้พบศพของเด็กนั้น พ่อของเด็กได้นำหลักฐานมาแสดงว่านางมีนาและเด็กคนนั้นเป็นภรรยาและลูกของเขาเอง เพื่อที่จะนำศพไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น