ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์ Phantom CM156

วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2556

โรงแรมหลอน




    เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณปลายปี 47 ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวที่หาดจอมเทียนพัทยา 

ตอนนั้นเราไปกันทั้งหมด 5 คน คือมีผม แฟนผม และเพื่อนแฟนอีก 3 คน แล้วเราก็ได้

เข้าพักในโรงแรมหนึ่งซึ่งเป็นรงแรมที่มีชื่อเสียงมาก และมีสาขาอยู่ในกรุงเทพด้วย 


   เราพักกันที่ตึกๆหนึ่งริมทะเล จำได้ว่าเราพักอยู่ที่ชั้น 11 ตอนแรกที่ผมเดินเข้าไปผมก็ได้

ยินเสียงคนเดินไปเดินมา ต่อมาก็วิ่ง แต่เราก็ไม่ได้เอะใจอะไร คนที่ได้ยินเสียงนี้มีแค่ผมกับ

เพื่อนแฟนชื่อโก๋ หลังจากเราเก็บของกันเสร็จแล้วเราก็ได้ไปเที่ยวที่ริมทะเล และทานอาหาร

เย็นกันที่ริมหาด แล้วกลับมาที่โรงแรมประมาณ ทุ่ม 


    ตอนที่เดินเข้ามาก็ได้ยินเสียงอย่างเดืมอีกแต่ก็ไม่ได้คิดอะไร แต่ที่สงสัยคือทำไมพวกผู้หญิง

ไม่ได้ยิน คืนนั้นพวกเราก็เข้านอน พอประมาณตีสาม ผมได้ตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำผมก็ได้ยินเสียง

คนวิ่งไปมาอีก จึงออกมาดู พวกผู้หญิงก็นอนอยู่บนเตียง ส่วนโก๋ก็นอนอยู่ที่พื้นกับผม แต่โก๋

นอนคุมโปรงอยู่ ผมก็เดินดูรอบๆห้องและออกมาดูหน้าห้องก็ไม่เห็นมีอะไร แต่ผมก็ยังได้ยิน

เสียงอยู่ 



     ผมก็รู้สึกกลัวเหมือนกัน แต่ก็ไม่เห็นอะไร จึงตัดสินใจเข้านอน ตื่นเช้ามาก็ลองเล่าให้ทั้งหมดฟัง

พวกผู้หญิงไม่รู้เรื่องอะไร แต่ที่น่ากลัวที่สุดคือโก๋เล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนตอนที่ผมตื่นและเดินไปรอบๆ

ห้องนั้น โก๋เห็นเด็กผู้ชายคนนึงเดินตามผม และเห็นเด็กหญิงอีกสองคนวิ่งไปวิ่งมาในห้อง แต่ผมไม่

เห็น และที่โก๋คลุมโปงเพราะว่าโก๋กลัวแต่ไม่กล้าทัก 


     สุดท้ายเราจึงย้ายออกจากโรงแรมนั้นทันที และต่อมาอีกประมาณ สองสามเดือนผมก็ได้มีโอกาส

กลับไปที่โรงแรมนั้นอีกครั้งและนอนที่ตึกเดิมแต่ชั้นหก ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่วันต่อมาที่ลอบบี้ผมที่

ยินครอบครัวหนึ่งบอกกับ pr ว่าเมื่อคืนมีเด็กวิ่งเล่นที่หน้าห้องเค้าทั้งคืน พอพนักงานถามว่าเค้าอยู่

ชั้นอะไร เค้าก็ตอบว่า ชั้น 11 ผมก็ขนลุกครับ แต่ผมก็ยังใช้บริการโรงแรมนี้อยู่แต่ไม่เอาชั้น 11 แล้วครับ 

วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ผีแม่ลูกอ่อนที่เกาะพีพี

   

      ผมชื่อชินวร เป็นหัวหน้าหน่วยกู้ภัยก่อนที่ผมจะออกเดินทางไปช่วยผู้ประสบภัยจากคลื่นยักษ์สึนามิ ผมไม่เคยคิดหรอกว่าจะได้พบกับสิ่งเร้นลับที่น่าขนหัวลุกขนหัวพองนี้เพราะผมอยู่กับหน่วยกู้ภัยมานานไม่เคยเจอเรื่องอย่างนี้เลย

     มันเป็นครั้งแต่มันก็ทำให้ผมต้องบันทึกไว้ในความทรงจำไปตลอดชีวิต พูดไปก็คงไม่มีใครเชื่อผมหรอกนะครับ แต่เอาเถอะใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อผมก็จะเล่าในสิ่งที่ผมเห็นมาทั้งหมดนั่นแหล่ะครับ
   
     ผมเห็นมากับตาผมเอง แถมยังได้นั่งคุยกันเป็นเวลานานอีกด้วยในขณะที่ผมนั่งคุยนั้นผมไม่ได้คิดว่าเธอเป็น "ผี" ผมคิดว่าเธอเป็นคน โธ่..ถ้าผมรู้ว่ากำลังนั่งคุยอยู่กับผี โฮ่ย ผมไม่เล่นด้วยหรอก

     วันนั้นเป็นวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2547 คลื่นยักษ์ลูกนี้ได้สร้างความสูญเสียทำให้มีคนตายเป็นจำนวนมาก ผนังปูน ประตูไม้หักสะบั้นเพราะแรงกระแทกของคลื่นที่โถมเข้ากระทบอย่างรุนแรง

     แม้ว่าคลื่นยักษ์สึนามิมันจะหันหน้ากลับสู่ทะเลพร้อมกับกวาดเอาชีวิตของคนและสัตว์เลี้ยงรวมถึงทรัพย์สินต่างๆ ลงไปด้วยก็ตาม แต่มันก็ได้ทิ้งร่องรอยแห่งความเจ็บปวดไว้ที่ยากจะลืม

     ผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าห้องที่เคยหรูหราจะเปลี่ยนสภาพกลายเป็นห้องเก็บศพในช่วงระยะเวลาไม่กี่นาที ภาพที่ผมเห็นเบื้องหน้าเป็นภาพของคนจำนวนมากนอนนิ้งตัวงอ เสื้อผ้าที่สวมใส่บางคนหลุดลุ่ยเหลือแต่กางเกง
   
     ตามความเชื่อของชาวพุทธบางกลุ่มว่าหลังจากชีวิตดับลงกว่าจะรู้ตัวเองว่าตายแล้วนั้นต้องสามวันเจ็ดวันผ่านไป ส่วนจะเป็นความจริงหรือไม่ก็มิอาจจะรับรองได้

     ผมเข้าไปหาหลักฐานว่าผู้ตายนั้นเป็นใคร ถ้าถามผมว่ากลัวไหมผมบอกได้เลยว่าไม่กลัวมีแต่ความสงสารและสังเวชใจจริงๆ เท่านั้นและที่หน้าสลดใจที่สุดคือมีศพผู้หญิงคนหนึ่งอายุประมาณ 30 ปี ถือขวดนมใบหน้าฟุบอยู่กับเปลของลูกน้อย แต่ในเปลนั้นไม่มีเด็กอยู่ พวกเราค้นหาร่างของเด็กจนทั่วห้อ่งแต่ก็ไม่พบเลยสั่งให้ทีมงานออกค้นหาร่างเด็กน้อยผู้น่าสงสารอยู่หลายวันก็ไม่พบทังภายในโรงแรมและรอบนอกคาดว่าน่าจะไปติดอยู่ที่ใดที่หนึ่ง

     แม้จะเหนื่อยสักเพียงใดก็ต้องทำ เพราะเราอุทิศตัวเพื่อรับใช้สังคมแล้วพอผมล้มัวลงนอนบนเตียงผ้าใบด้วยความอ่อนล้าหนังตากำลังจะปิดร่างกายต้องการพักผ่อน เวลานั้นกำลังครึ่งหลับครึ่งตื่น

     พลันก็มีเสียงเด็กร้องไห้แว่วมาเสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ จผททนไม่ไหวจึงลุกขึ้นนั่งและคิดไปว่าเราคิดเรื่องเด็กน้อยนั้นมากไปหรือเปล่าหูจึงแว่วแต่ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะเสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงเด็กร้องไห้จริงๆ หูผมไม่ได้ฝาด

     เพื่อความมั่นใจจึงได้ปลุกน้องอาสาสมัครคนหนึ่งที่นอนอยู่ข้างๆ ให้ตื่นผมถามว่าได้ยินเสียงเด็กร้องไหม..? คำตอบของน้องคนนั้นคือไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ผมจึงล้มตัวลงนอนต่อ คิดว่าหูแว่วไปเอง

     พอจะหลับก็มีเสียงเด็กร้องไห้ขึ้นมาอีก แต่คราวนี้เสียงร้องนั้นมาอยู่ใกล้ๆ เหมือนมาร้องอยู่ข้างๆ จนผมต้องออกไปดู ผมเดินไกลออกไปจากที่พักพอประมาณเสียงเด็กร้องก็หายไป

     ในขณะที่จิตของผมมันเตลิดไปไกล พลันก็ปรากฏร่างของหญิงสาววัยกลางคนอยู่เบื้องหน้าไม่กี่เมตร อยู่ในชุดนอนยืนหันหน้าออกไปทางทะเลที่เงียบสงบ ผมแปลกใจว่าทำไมเธอถึงมายืนทำอะไรตรงนี้ผมจึงถามเธอว่า

     "คุณพักที่ไหนหรือครับ ดึกป่านนี้ทำไมยังไม่นอน" เธอไม่ตอบแต่ชี้มือไปยังคลื่นทะเลที่ซัดสาดเข้ากระทบหาดทราย ผมสงสัยว่าเธอหมายถึงอะไรจึงได้ถามเธอต่อว่า "มีอะไรหรือครับ"

     หญิงสาวในชุดนอนปล่อยโฮโฮ..ออกมาทันที ผมจึงปลอบให้เธอทำใจให้สบาย จากนั้นเธอเงยหน้าและหันหน้ามาทางผม

     "ลูกของดิฉันกำลังหิว แต่ฉันยังไม่ได้ป้อนนมลูกก็ถูกน้ำพัดลงทะเลช่วยลูกของดิฉันด้วยนะคะ..ฮือ ฮือ" ช่วงจังหวะนั้นผมคิดอะไรไม่ออกเพราะไม่รู้จะปลอบเธอยังไงดี เพราะเธอได้รับการกระทบกระเทือนจิตใจอย่างหนัก ได้แต่ปลอบใจเธอว่า

     "ใจเย็นๆ ครับ ผมจะหาทางช่วยลูกของคุณเอง" แต่ผู้หญิงคนนั้นยังร้องไห้จะขาดใจไม่ยอมหยุด คุณจะให้ผมช่วยอะไรได้บ้างเพราะมันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว ผมมีทีมงานที่จะคอยช่วยเหลือคุณได้ ผมพูดให้ความหวัง แต่เธอก็ยังคงร้องไห้แต่แปลกที่เสียงของเธอรู้สึกเย็นยะเยือก ผมหันไปอีกทีก็พบว่าเธอไม่อยู่แล้วผมคิดว่าเธอคงจะกลับบ้านไปแล้ว

     "ผมเดินไปริมหาดจนเวลาผ่านไป 24.15 น. แล้วสิ่งที่ผมคิดไม่ถึงก็เกิดขึ้น เมื่อปรากฎร่างเด็กน้อยอายุราว 2 ขวบ ถูกคลื่นซัดมาติดชายฝั่ง สภาพขึ้นอืดแต่เสื้อผ้ายังอยู่ครบ ผมจึงไปเรียกเพื่อนกู้ภัยพร้อมผ้าขาวมาห่อศพ ผมคิดถึงเรื่องราวที่ผู้หญิงคนนั้นออกมาตามหาลูกที่หายไปเมื่อสักครู่
   
     เมื่อผมขอตรวจดูรายชื่อแขกที่มาพักปรากฎว่าผู้หญิงที่ถือขวดนมคือนาง มีนา อายุ30 ปี เธอมาพักกับสามีและลูกอายุ 2 ขวบ แต่ในขณะเกิดเหตุสามีของเธอออกไปทำธุระในเมืองก็เลยไม่เป็นอะไรแต่เธอกับลูกได้ถูกคลื่นซัดจนเสียชีวิตเพราะความโหดร้ายของคลื่นยักษ์สึนามิ

     เป็นอันว่าผู้หญิงที่ปรากฏตัวในชุดนอนนั้นที่แท้เธอคือวิญญาณของนาง มีนา ออกมาตามหาลูกที่โดนคลื่นสึนามิสูบลงสู่ทะเลนั่นเองเธอคงรู้ว่า ชินวร เป็นหัวหน้ากู้ภัยคงช่วยลูกของเธอขึ้นจากทะเลได้

     ในวันเดียวกันกับวันที่ผมได้พบศพของเด็กนั้น พ่อของเด็กได้นำหลักฐานมาแสดงว่านางมีนาและเด็กคนนั้นเป็นภรรยาและลูกของเขาเอง เพื่อที่จะนำศพไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป
   

วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ผี น.ศ. สาวบุกโรงพักแจ้งความ

   


      คืนนั้นเวลาตี 3 แล้ว ตำรวจที่เข้าเวรทุกคนต่างก็ง่วงเต็มที่บางคนก็ออกตรวจท้องที่ดูแลความสงบเรียบร้อยตามหน้าที่ของผู้พิทักษ์สันติราษฏร์ยังไม่กลับเข้าโรงพัก ตำรวจที่เหลือก็อยู่อีกห้องหนึ่ง

     สารวัตรเวรก็อยู่อีกห้องหนึ่งเพียงลำพังคนเดียวแม้หนังตามันจะปิดเพราะมันทำงานของมันมาทั้งวันแล้ว แต่ตำรวจเวรจะหลับเวรไม่ได้เป็นอันขาด จึงหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านข่าวต่างๆ

     หลังจากอ่านข่าวเสร็จแล้ว ผมก็มีความรู้สึกว่าเหมือนมีใครสักคนมายืนหน้าโต๊ะทำงานผมพับหนังสือพิมพ์เก็บแล้วเงยหน้าขึ้นมอง ผมตกใจแทบช็อกเหมือนกั

     เมื่อมีผู้หญิงแต่งตัวในชุดนักศึกษาที่คอผูกเนกไทสีเทามือซ้ายจับปลายเนกไทไว้อายุประมาณ 20 ปีเหมือนนักศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากโรงพักไม่กี่เสาไฟฟ้า หน้าตาและตามเนื้อตัวมอมแมม ผมเผ้ายุ่งเหยิงเหมือนเพิ่งโดนทำร้ายมาใหม่ๆ

     "เอาหล่ะเงยหน้าขึ้นมาคุยกัน คุณมีปัญหาอะไรหรือเปล่าผมอาจจะช่วยคุณได้นะ"แทนที่เธอจะเงยหน้าขึ้นกลับร้องไห้แต่เสียงของเธอต่างจากเสียงของคนธรรมดาทั่วไป เสียงนั้นเย็นชาและเย็นเยือก แต่ผมก็ไม่เอะใจ

     "คุณไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาแล้วผมจะช่วยคุณได้อย่างไร" ผมพูดย้ำ แต่เธอก็ไม่ยอมพูดหรือเงยหน้าขึ้นมา

     "เอาหล่ะๆ คุณใจเย็นๆ ทำใจให้สบาย ไม่ต้องกลัวนี่โรงพักไม่มีใครทำอะไรคุณได้เข้ามาใกล้ๆ แล้วนั่งบนเก้าอี้" แทนที่เธอจะทำตามเธอกลับนิ่งอยู่กับที่ แต่เงยหน้าขึ้นช้าๆ แล้วพูดขึ้นว่า

     "สารวัตรขามีคนถูกขังร้องขอความช่วยเหลืออยู่ภายในตึกคณะวิทยาการจัดการ" เธอผู้มากับความเงียบกล่าวจบก็ยืนสงบอยู่กับที่ผมจึงเดินไปสั่งลูกน้องที่อยู่อีกห้องหนึ่งเพื่อจะออกไปตรวจที่เกิดเหตุ

     แต่พอผมเดินกลับมานักศึกษาสาวคนนั้นก็ได้หายไปแล้วผมคิดว่าเธอคงไปเข้าห้องน้ำแต่ไปดูที่ห้องน้ำก็ไม่มีใคร ถามสิบเวรที่รักษาการณ์อยู่หน้าโรงพักก็ไม่รู้ไม่เห็นใครเดินผ่านเลย

     เมื่อไปถึงสถานที่เกิดเหตุตอนนั้นอากาศกำลังขมุกขมัวแต่ก็ได้เดินตรวจตามที่ได้รับแจ้งแต่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติอาคารทุกหลังเงียบสงบจะมีก็แต่เสียงตุ๊กแกร้องถี่ผิดปกติเท่านั้น

     หลังจากเดินดูจนทั่วไม่มีอะไรก็เดินทางกลับโรงพักเพื่อทำหน้าที่สารวัตรเวรต่อไปจนสว่าง พอดีตำรวจเอาหนังสือพิมมาวางบนโต๊ะ ผมได้หยิบมาดูข่าวหน้า 1 ก่อน

     ผมสงสัยว่าภาพข่าว น.ศ.สาวชื่อ น.ส.เสาวภาลงบนหน้า 1 หนังสือพิมพ์ไทนรัฐ หน้าตาของเสาวภาพเหมือนผู้หญิงที่มาหาผมเมื่อคืนนี้จริงๆ ทั้งรูปร่างลักษณะ หน้าตาเป็นคนเดียวกันทำเอาผมมือไม้สั่น ขนลุกซู่ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

     เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 น.ส.เสาวภา  ประชุมอายุ 22 ปี นักศึกษาคณะวิทยาการจัดการ เอกบริหารธุรกิจ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราช ผูกคอตายในบ้านเลขที่ 3/193 หมู่บ้านเคหะชุมชน อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช

     เรื่องที่เป็นสาเหตุคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่เสาวภาพยายามวิ่งเต้นเพื่อกู้เงินกองทุนการศึกษามาจ่ายค่าลงทะเบียนเรียนเหลืออีก 1 ปี เธอก็จะจบหลักสูตรแล้วแต่ก็ยังไม่ได้คำตอบ

     เสาวภาทำทุกวิถีทางเพื่อจะหาเงินมาลงทะเบียนเรียนขนาดยืมเพื่อนจ่ายไปให้ก่อนโดยได้ให้ความหวังกับเพื่อนที่ให้กู้เงินว่า ได้เงินที่ขอกู้จากกองทุนเมื่อไหร่จะเอาไปคืน

     เสาวภาเอาเวลาไปรับจ้างหลังเลิกเรียนก็ไม่พอจ่ายค่าหน่วยกิต การรอเงินกองทุนก็ดูเหมือนจะสิ้นหวัง นอกจากจะผิดหวังเรื่องเงินกองทุนแล้ว เงินที่ยืมเพื่อนมาก็ถึงกำหนดคืน

     ในช่วงนาทีนั้นเธอรู้สึกว่าหมดทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตมองอนาคตข้างหน้าดูเหมือนจะมืดมนไปหมดหาทางออกให้กับตัวเองไม่เจอยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้มจนลืมทุกอย่างแม้แต่พ่อ-แม่

     หากเสาวภาคิดถึงพ่อแม่พี่น้องก่อนจะตัดสินใจทำลายชีวิตและอนาคตของตัวเอง เธอคงได้สติกลับมาหาทางแก้ไขได้ เสาวภา ณ เวลานั้นลืมข้อคิดข้อนี้
   
     หลังข่าว... "ผีนักศึกษาสาวบุกโรงพักแจ้งความ..." แพร่กระจายออกสู่สายตาประชาชนทางหน้าหนังสือพิมพ์ ทำเอาฝ่ายรับผิดชอบเรื่องเงินกองทุนพากันเต้นผางซัดกันวุ่นน ทั้งกลัวความผิดในการปฏิบัติหน้าที่ที่ล่าช้าและผิดพลาด

     ทั้งขนลุกจนพองกลัววิญญาณเสาวภานักศึกษาสาวไปปรากฏตัวที่สำนักงาน เพื่อทวงถามหาความเป็นธรรม..ตามๆ กัน..?.