วันอังคารที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2556
ผีวัดโพธิแตงใต้
วัดโพธิ์แตงใต้ อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นวัดที่มีความเก่าแก่มากวัดหนึ่งของจังหวัดอยุธยา ในสมัยก่อนวัดแห่งนี้มีกิตติศัพท์ในเรื่อง “ผีดุ” ขนาดพระเณรยังไม่กล้าจำพรรษา !!!
รายละเอียดเกี่ยวกับวัดโพธิ์แตงใต้ ผมได้ข้อมูลเบื้องต้นมาเพียงว่า ………เป็นวัดเก่าแก่แต่ไม่รู้ว่าสร้างมาตั้งแต่เมื่อใด และใครเป็นผู้สร้าง บางคนก็สันนิษฐานว่า น่าจะสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา (ตอนปลาย) แต่บางคนก็บอกว่าไม่ใช่ น่าจะเป็นสมัยรัตนโกสินทร์มากกว่า เอาเป็นว่าวัดโพธิ์แตงใต้สร้างมานานก็แล้วกัน
วัดโพธิ์แตงใต้มีพระเกจิฯ ดังอยู่รูปหนึ่ง ซึ่งชาวบ้านทั่วไปให้เลื่อมใสและศรัทธาท่านมาก พระเกจิฯ รูปนั้น คือ หลวงปู่สด ธัมวโร ท่านเป็นอดีตเจ้าอาวาสของวัดโพธิ์แตงใต้ นั่นเองแต่บางคนเรียกท่านว่า หลวงพ่อปู่สดตาทิพย์ เหตุผลที่เรียกท่านเช่นนั้นก็เพราะว่า ท่านเป็นผู้ที่มีญาณพิเศษ สามารถล่วงรู้เหตุการณ์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์
ตอนนั้นยอมรับว่างงพอสมควร เพราะไม่รู้ว่า วัดโพธิ์แตงใต้อยู่ที่ใด จะเดินทางไปถึงวัดได้อย่างไร แต่ผมก็ยังโชคดีที่บังเอิญ น้องหมวยพนักงานคอมฯ ของผมเธอเป็นคนอยุธยา และเธอมีบ้านอยู่ข้างๆ วัดโพธิ์แตงใต้พอดี เรื่องที่ว่ายากมันก็เลยกลายเป็นเรื่องง่าย
………การเดินทางจากกรุงเทพฯ มาที่วัดโพธิ์แตงใต้ ใช้เวลาราวชั่วโมงเดียว เมื่อมาถึงวัดน้องหมวยได้พาผมไปที่บ้านญาติคนหนึ่ง ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงแท้ๆ ของเธอ มีชื่อว่า คุณลุงบุญช่วย สุขสาขา แม้ว่าจะมีอายุ 80 ปีเศษๆ แต่ทว่าสุขภาพร่างกายก็ยังดูแข็งแรงดี
“มีคนบอกว่าที่วัดโพธิ์แตงใต้ผีดุ เรื่องนี้เป็นความจริงหรือเปล่าครับคุณลุง?”
คุณลุงมองหน้าผมแล้วก็หัวเราะ
“ผีที่วัดโพธิ์แตงใต้บอกว่าดุเฉยๆ ไม่ได้ ต้องบอกว่าดุมากถึงจะถูก”
คำตอบของคุณลุงบุญช่วย ทำให้ผมมีความรู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมาทันที คนอายุปูนนี้แล้ว ผมมีความเชื่อมั่นว่าคงจะไม่กุเรื่อง หรือเป็นพวกปั้นน้ำเป็นตัวอย่างแน่นอน
“คุณลุงเคยเจอกับตัวเองบ้างหรือเปล่าครับ?”
คุณลุงพยักหน้าช้าๆ แทนคำตอบ ซึ่งมันก็เป็นการพอเพียงสำหรับผมแล้ว
ตามธรรมเนียมของคนต่างจังหวัด แม้ว่าจะไม่มีความคุ้นเคยกันมาก่อนก็ตาม แต่เมื่อแขกมาถึงบ้าน เจ้าของบ้านก็จะต้องให้การต้อนรับ จัดหาข้าวปลาอาหารมาให้กิน ซึ่งทำให้ผมประหยัดค่าอาหารมื้อกลางวันไปมื้อหนึ่ง
………คุณลุงบุญช่วยท่านได้พาผมไปที่วัด ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากบ้านของแกเท่าใดนัก
“ขึ้นไปไหว้หลวงปู่สดเสียก่อน แล้วลุงจะเล่าให้ฟังว่า ผีที่วัดโพธิ์แตงใต้มันเฮี้ยนขนาดไหน”
บนศาลาการเปรียญของวัด มีรูปหล่อของหลวงปู่สดแต่ด้านหลังของรูปหล่อ มีสังขารของหลวงปู่สดนอนอยู่ในโลงแก้ว
“พอไหว้รูปหล่อของหลวงปู่เสร็จ ก็ควรจะไปดูร่างของท่านที่อยู่ในโลงด้วยนะ”
“ไม่ต้องดูก็ได้มั้งครับลุง” ผมพูดอย่างเสียวๆ
“เถอะน่า ไปดูสักหน่อย ท่านละสังขารมานานหลายปีแล้ว แต่เป็นเรื่องประหลาดที่เนื้อหนังมังสาของท่านไม่เน่าไม่เปื่อย แถมฟันและเส้นผมก็งอกยาวขึ้นเรื่อยๆ”
หากว่าสังขารของหลวงปู่สดไม่ได้ฉีดยา ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นก็ต้องนับว่าเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์มากทีเดียว
……….จากนั้นคุณลุงบุญช่วยก็พาผมเดินมาที่ศาลแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ข้างๆ ศาลาการเปรียญ
“นั่นเป็นศาลของเจ้าแม่รำพึง ซึ่งแต่ก่อนมีกิตติศัพท์ในเรื่องความเฮี้ยน ขนาดกลางวันแสกๆ ก็ยังอุ้มลูกเดินออกมา พระเณรไม่เป็นสุข ตอนนั้นลุงยังเป็นเด็กหนุ่ม วัยกำลังซ่า พอรู้ว่าที่นี่ผีดุก็เลยชวนพวกเพื่อนๆ มาลองของ เอามุ้งมานอนหน้าศาลกับพวกเพื่อนๆ”
“แล้วเจออะไรหรือเปล่าครับ?”
“เจอเต็มๆเลย ตอนนั้นราวๆ ตี 1 ลุงกำลังเคลิ้มๆ จวนจะหลับอยู่แล้ว ก็มีเสียงคนเดินที่หัวนอน เข้าใจว่าเป็นพวกเด็กวัดแกล้งทำเป็นผีมาหลอกลุง ตอนนั้นรอจังหวะให้มันเดินมาใกล้ๆ ในมือก็เตรียมอีดาบยาวเท่าแขนไว้แล้ว กะว่าจะฟันให้หัวแบะ พอเสียงเดินมาหยุดที่หัวนอน ลุงก็ลุกพรวดขึ้น แล้วตลบมุ้งเงื้อดาบสุดแขน”
“แล้วฟันทันทีเลยใช่มั้ยครับ”
“แทบช็อกน่ะซิ พอลุงเปิดมุ้งก็เจอจะจะเต็มตาเลย ผู้หญิงผมยาว หน้าบวมฉึ่ง มันก็ศพเราดีๆ นี่เอง ลุงพยายามรวบรวมสติ แล้วพูดด้วยเสียงดังๆ ว่า มึงจะลองกับกูอย่างนั้นใช่มั้ย อีผีบ้า ลุงเห็นมันทำท่าจะโผเข้ามาบีบคอลุง ลุงก็เลยตัดสินใจฟันมันที่คอสุดแรง”
“ถูกเต็มๆ เลยใช่มั้ยครับลุง?”
“เหมือนเราฟันอากาศฟันลม แรงที่เหวี่ยงดาบทำให้เราเสียหลักถลาล้มลงไม่เป็นท่า เสียงเอะอะทำให้พวกเพื่อนๆ ของลุงตื่นขึ้นมา หมาในวัดหอนกันเกรียว เพื่อนบอกลุงว่าเห็นลุงฟันอะไรวืดวาด แต่มองไม่เห็นว่าฟันอะไร ลุงก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พวกเขาฟัง พอเล่าจบเพื่อนคนหนึ่งก็ทำท่าตกใจ แล้วชี้ไปที่เมรุเผาศพ คนอื่นๆ ก็เลยมองตาม”
“เขาเห็นอะไรครับลุง?”
“ผีผู้หญิงตัวเดิม แต่ตอนนี้ขึ้นไปนั่งอุ้มลูกอยู่บนเมรุเผาศพ ตอนนั้นถอดใจไม่เอาอีกแล้ว ลุงกับเพื่อนๆ นอนจับไข้อยู่หลายวัน พ่อแม่ต้องพามารดน้ำมนต์ที่วัด และไปขอขมาเจ้าแม่รำพึงที่ได้ล่วงเกินลบหลู่ อาการของลุงกับพวกเพื่อนๆ ก็ดีขึ้น จากนั้นก็ไม่เคยคิดจะลองดีอีกเลย”
ชาวบ้านที่เป็นคนเก่าคนแก่เล่าให้ฟังว่า แต่ก่อนนั้นวัดโพธิ์แตงใต้ก็มีความสุข สงบ ไม่มีเรื่องผีเรื่องสาง จนกระทั่งมีศพของสาวท้องแก่ ชื่อ “รำพึง” มาเผาที่วัด อาถรรพณ์ต่างๆ ก็เลยเกิดขึ้น ซึ่งเป็นความผิดพลาดของสัปเหร่อ ที่ชื่อว่า “ลุงผล”
“ตาผลมันเพี้ยน ชอบทำอะไรแผลงๆ อยู่เรื่อย ผี 4 ตา ศพคนท้องตายทั้งกลม มีใครเผารวมกันบ้าง แต่เขาก็บอกว่าไม่มีอะไร เผารวมกันได้ หากมีอะไรเกิดขึ้นตาผลจะรับผิดชอบเอง ขนาดหลวงพ่อมาห้ามแกยังไม่เชื่อเลย จำได้ว่าศพเผาตอนเย็น คืนนั้นผีก็เฮี้ยนทันที พระองค์หนึ่งลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำกลางดึก ถูกผีตายท้องกลมหลอกจนหมดสติ จากนั้นพระที่จำพรรษาในวัดก็เริ่มสึกออกไป วัดมีพระเหลืออยู่เพียงไม่กี่องค์ แทบจะเป็นวัดร้าง”
“แล้วที่ลุงผลแกบอกว่าจะรับผิดชอบกับเรื่องที่เกิดขึ้น”
“ตาผลรู้เรื่องก็บอกว่าจะมาจับผีถ่วงน้ำ ขณะที่แกนั่งเรือมาตามแม่น้ำ ปรากฏว่าเรือเกิดล่ม แกเป็นคนว่ายน้ำแข็ง แต่ก็ไม่มีใครพบศพของแก ทำให้เดากันว่าแกจมน้ำตายแล้ว แต่มีคนพูดกันว่าแกถูกจระเข้คาบไปกินแล้ว เพราะตอนที่เรือล่ม มีคนเห็นว่าจระเข้ตัวใหญ่หนุนเรือของแก
ผีของแม่รำพึงมาสงบเพราะหลวงปู่สด ตอนที่ท่านมาเป็นเจ้าอาวาสที่วัด ตอนนั้นผีของนางรำพึงกำลังคะนอง ท่านทำพิธีกรรมสวดส่งวิญญาณอยู่คืนหนึ่ง จากนั้นก็ไม่มีใครเห็นการปรากฏตัวของผีนางรำพึงอีกเลย ท่านเป็นพระที่มีวิชาอาคมสูงมาก ท่านมีตาทิพย์ และท่านยังดูดวงได้อย่างแม่นยำอีกด้วย หากท่านทำนายว่าไอ้คนนี้จะต้องตายโหงใน 7 วัน หากไม่รีบมาสะเดาะเคราะห์ รับรองไม่เกิน 7 วัน จองศาลาวัดไว้ได้เลย”
วันหนึ่งเต็มๆ กับการพูดคุยกับชาวบ้านวัดโพธิ์แตงใต้ ยังไม่จุใจ ทำให้ผมต้องบอกกับตัวเองว่า สักวันจะต้องกลับมาที่นี่อีกครั้งอย่างแน่นอน
ผีบ้านทรงไทย
ญาติผู้ใหญ่ของผมคนหนึ่งมีชื่อว่าลุงชด ชอบเรียนวิชาอาคมและเป็นนักสะสมพระเครื่องตัวยง ส่วนเครื่องรางของขลังก็พอมีบ้างแต่ไม่มากนัก
ลุงชดนี่แหละที่ทำให้เรารู้ความจริงว่า ในโลกนี้ผีมีจริง !!!
สมัยที่ลุงชดยังเป็นหนุ่มๆ แกเป็นคนใจร้อน ใครมาท้าตีท้าต่อยเป็นไม่ได้ เลือดของนักสู้เป็นต้องเดือดพล่านขึ้นมาทันที ด้วยเหตุนี้เองทำให้ลุงชดต้องเรียนรู้เรื่องราวของวิชาอาคม ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติของผู้ชายอยู่แล้ว
…….หลังบ้านของลุงชดอยู่ติดกับวัดขวิด ซึ่งสมัยก่อนมีกิตติศัพท์ในเรื่องผีดุเป็นอันมาก ไม่มีใครกล้าเดินผ่านวัดในเวลากลางคืน แต่ลุงชดกลับเดินผ่านป่าช้าอย่างสบายใจ เหมือนว่าในป่าช้าเป็นห้างสรรพสินค้ายังไงยังงั้น
“ถามจริงๆ เถอะครับลุง ไม่เคยถูกผีหลอกบ้างเลยรึ”
“เราต้องแยกแยะให้ออก ผีหลอกกับผีมาปรากฏร่างมันคนละเรื่องกัน แต่คนทั่วไปมักเข้าใจผิด คิดว่าทุกครั้งที่เห็นผีมักจะทึกทักว่าถูกผีหลอกที่จริงแล้วไม่ใช่ เขาอาจจะมาปรากฏตัวให้เห็นเพราะต้องการจะบอกอะไรเราบางอย่าง บางครั้งผีมีความหิวโหย ไม่มีใครทำบุญอุทิศส่วนกุศลมาให้ แต่เราเป็นผู้ที่มีจิตใจเอื้ออารี ผีจึงมาขอส่วนบุญโดยการปรากฏร่างให้เห็น”
“ที่บอกว่าผีมาบอกอะไรเราบางอย่าง หมายความว่าอย่างไร?”
“ผีนั้นมีความสามารถพิเศษ คือเขาสามารถล่วงรู้เหตุการณ์ในอนาคต รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับใครบางคน หากว่าเขามีความปรารถนาดี ไม่ต้องการให้คนผู้นั้นต้องได้รับเคราะห์กรรม เขาก็จะมาปรากฏร่างให้เห็น เพื่อเป็นการเตือนให้ระวังตัว คงจะเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า ผีมาบอก”
“ลุงห้อยพระเครื่องบ้างหรือเปล่า”
“ไม่เคยห้อยพระเครื่อง คนที่ห้อยพระเครื่องแต่ทำตัวไม่ดี ห้อยพระก็เท่านั้นไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก”
“ได้ข่าวว่าลุงเคยถูกฟันแต่ไม่เข้า”
“ตอนนั้นไปมีเรื่องกับนักเลงวัดบ้านทวน มันเกเรชอบหาเรื่องชาวบ้าน เห็นพวกสาวๆ เป็นไม่ได้ ไม่เลือกว่าเป็นลูกเขาเมียใคร มันจีบดะไม่เลือกหน้า ลุงก็เลยท้าพวกมันดวล แต่มันเล่นทีเผลอตอนที่เรายังไม่ทันระวังตัว อีดาบยาวฟันเราเข้าที่กลางหลัง ตอนนั้นสะดุ้งคิดว่าเหวะแล้ว แต่พอรู้ว่าไม่เข้ากำลังใจมาเป็นกระบุง เลยไล่แทงพวกมันจนหนีกระเจิง”
“ไม่น่าเชื่อนะครับว่าเรื่องคงกระพันชาตรีมันจะมีจริง”
“ยังมีความลี้ลับในโลกนี้ที่เรายังไม่รู้อีกมากมาย แต่คนทั่วไปมักมองว่าสิ่งไหนพิสูจน์ไม่ได้ แสดงว่าสิ่งนั้นเป็นเรื่องเหลวไหล อย่าไปเชื่อ อย่างกับเรื่องผีเหมือนกัน คนชอบพูดกันนักว่าอย่าไปเชื่อ ในโลกนี้ไม่มีผีหรอก แต่ลุงเคยเจอจะจะมาแล้วจนนับไม่ถ้วน สนใจอยากจะฟังหรือเปล่าล่ะ”
……..ประสบการณ์ผีเรื่องแรกที่ลุงชดเล่าให้ฟังก็คือ “ผีที่บ้านทรงไทย” ซึ่งบ้านทรงไทยหลังดังกล่าว อยู่ที่อำเภอองค์รักษ์ จังหวัดนายก ปัจจุบันบ้านหลังกล่าวก็ยังอยู่ แต่ถูกดัดแปลงบางส่วนให้เป็นร้านอาหารไปแล้ว
“วันนั้นลุงไปหาเพื่อนที่จังหวัดนครนายก เพื่อนเก่าไม่ได้เจอกันมานาน มันก็กินติดลมไปหน่อย รถเที่ยวสุดท้ายก็เลยหมด เพื่อนก็เลยให้นอนค้างที่บ้าน ใจจริงของลุงไม่อยากนอนค้างที่บ้านของเพื่อนสักเท่าไหร่ มันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เราหวาดระวัง คล้ายกับว่ามีคนมองเราอยู่ ไม่ว่าเราจะทำก็ตาม
ลุงกับเพื่อนนั่งกินเหล้ากันอีกพักก็แยกย้ายกันไปนอน ลุงนอนในห้องที่เพื่อนจัดเอาไว้ให้ เป็นห้องเล็กๆ ในห้องมีโกฐใส่กระดูกตั้งอยู่ ตอนนั้นใจไม่สู้ดี แต่จะบอกเพื่อนว่ากลัวก็ไม่ได้ เพราะเพื่อนรู้ว่าลุงเป็นคนไม่เคยกลัวอะไรอยู่แล้ว
พอกำลังเคลิ้มๆ จวนจะหลับ ก็ได้ยินคนพูดข้างหูบอกว่า ออกไปจากห้องของกู ออกไปจากห้องของกู ตอนแรกคิดว่าเราหูแว่วไปเอง พยายามไม่คิดอะไร คราวนี้ไม่ได้ยินเสียงแต่ถูกดึงขา ลุงก็ชักเท้ากลับสวดมนต์เป็นการใหญ่ มีเสียงเท้าคนเดินรอบๆ ห้อง ลุงตัดสินใจเป็นไรเป็นกันวะ เปิดมุ้งลุกขึ้นยืนทันที ในห้องมันมีแสงสว่างลางๆ ไม่ถึงกับมืดเสียทีเดียว ลุงจึงมองเห็นแบบลางๆ ว่ามีผู้หญิงแก่ๆ ยืนอยู่ที่มุมห้อง ตอนนั้นสติแทบแตกโวยวายลั่นห้องจนเพื่อนตกใจตื่น ลุงก็เลยเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อนบอกว่าห้องนี้เป็นห้องยายของมันเอง ยายตายในห้องนี้ และที่นอนที่ลุงนอนก็เป็นของยายมัน
เพื่อนบอกว่าลืมจุดธูปบอกยายของมันว่าลุงจะเข้ามานอนในห้องนี้ ตอนนั้นมันก็จวนจะสว่างแล้ว ลุงก็เลยนั่งกินเหล้าต่อกับเพื่อน ไม่คิดจะกลับไปนอนในห้องนั้นอีกเลย นี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกของลุงที่ถูกผีหลอก จากนั้นลุงก็เริ่มศึกษาเรื่องราวของไสยศาสตร์ ศึกษาเรื่องจิตและวิญญาณ ยังมีสิ่งต่างๆ อีกเป็นจำนวนมากที่มีอยู่ในโลกนี้ แต่คนธรรมดาสัมผัสไม่ได้ จับต้องไม่ได้”
…….อีกประสบการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นกับลุงชดเป็นเรื่องของ “ผีสาวเฮี้ยน” ซึ่งเกิดที่จังหวัดลพบุรี
“ญาติคนหนึ่งของลุงไปเปิดร้านขายของที่จังหวัดลพบุรี วันเปิดร้านเขาก็ชวนพวกญาติๆ ไปทำบุญที่ร้าน ลุงก็ไปแต่ถึงลพบุรีก็ดึกมากแล้ว ตอนนั้นรู้สึกหิวก็เลยแวะทานข้าวต้ม ร้านข้าวต้มอยู่ติดกับสถานีรถไฟ ตอนที่กำลังนั่งกินข้าวต้มอยู่นั้น ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินผ่านมา การแต่งเนื้อแต่งตัวก็ดี หิ้วกระเป๋าเดินทางใบเล็กๆ มาใบนึง แต่ลุงก็ไม่ได้สนใจอะไร พอกินเสร็จก็ขึ้นรถ ผู้หญิงคนนั้นเดินมาหาลุง แล้วถามลุงว่าจะไปทางไหน ลุงบอกว่าไปทางลำนารายณ์ เขาก็บอกว่าไปทางเดียวกัน ขอติดรถไปด้วยคน ลุงเห็นเป็นผู้หญิงก็สงสารเลยให้นั่งรถไปด้วย
พอขับรถออกมาได้สักพัก มันก็เริ่มได้กลิ่นเหมือนมีอะไรเน่าๆ อยู่ในรถ กลิ่นมันเหม็นมาก ลุงถามผู้หญิงคนนั้นว่าได้กลิ่นอะไรหรือเปล่า เขาก็พยักหน้าบอกว่ากลิ่นศพคนตาย ลุงบอกว่าไม่ใช่หรอก มันเป็นกลิ่นหนูตายต่างหาก กลิ่นศพที่ไหนกัน พอลุงพูดจบผู้หญิงคนนั้นก็หัวเราะ มันเป็นเสียงหัวเราะที่เยือกเย็น ไม่ใช่เสียงคนอย่างแน่นอน พอลุงหันไปมองก็เห็นใบหน้าผู้หญิงคนนั้นเน่าเฟะ ดวงตาห้อยออกมานอกเบ้า น่ากลัวมาก ตอนนั้นลุงเหยียบเบรกรถทันที ความตั้งสิตแล้วสวดคาถาบูชาท้าวเวสสุวรรณ ร่างของผีผู้หญิงก็หายวับไป
พอไปถึงบ้านญาติลุงก็เล่าเหตุการณ์ที่เจอมาให้พวกเขาฟัง ทีแรกก็ไม่มีใครเชื่อคิดว่าลุงโกหก แต่บังเอิญมีญาติคนหนึ่งเป็นตำรวจถามลุงว่า ผู้หญิงที่ลุงพบใส่เสื้อสีแดงลายดำ ลุงกางเกงขาวใช่หรือเปล่า ลุงก็บอกว่าใช่ เขาบอกว่าผู้หญิงคนนั้นชื่อว่า “เพ็ญ” เป็นคนจันทบุรี มาตามสามีที่จังหวัดลพบุรี แต่ถูกคนร้ายลวงไปข่มขืนแล้วฆ่าทิ้งอย่างโหดเหี้ยม หลังจากนั้นปรากฏว่าผีของเพ็ญได้ออกอาละวาด เที่ยวหลอกหลอนชาวบ้านเป็นประจำ ตำรวจเองก็ยังถูกหลอกจนไม่กล้าออกตรวจพื้นที่
วันรุ่งขึ้นลุงก็เลยใส่บาตรอุทิศส่วนกุศลให้เพ็ญ คืนนั้นเพ็ญก็มาเข้าฝันลุง พร้อมกับขอบคุณที่ลุงทำบุญให้เธอ เธอบอกว่าจะไปผุดไปเกิดเสียที”
วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2556
โรงแรมหลอน
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณปลายปี 47 ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวที่หาดจอมเทียนพัทยา
ตอนนั้นเราไปกันทั้งหมด 5 คน คือมีผม แฟนผม และเพื่อนแฟนอีก 3 คน แล้วเราก็ได้
เข้าพักในโรงแรมหนึ่งซึ่งเป็นรงแรมที่มีชื่อเสียงมาก และมีสาขาอยู่ในกรุงเทพด้วย
เราพักกันที่ตึกๆหนึ่งริมทะเล จำได้ว่าเราพักอยู่ที่ชั้น 11 ตอนแรกที่ผมเดินเข้าไปผมก็ได้
ยินเสียงคนเดินไปเดินมา ต่อมาก็วิ่ง แต่เราก็ไม่ได้เอะใจอะไร คนที่ได้ยินเสียงนี้มีแค่ผมกับ
เพื่อนแฟนชื่อโก๋ หลังจากเราเก็บของกันเสร็จแล้วเราก็ได้ไปเที่ยวที่ริมทะเล และทานอาหาร
เย็นกันที่ริมหาด แล้วกลับมาที่โรงแรมประมาณ ทุ่ม
ตอนที่เดินเข้ามาก็ได้ยินเสียงอย่างเดืมอีกแต่ก็ไม่ได้คิดอะไร แต่ที่สงสัยคือทำไมพวกผู้หญิง
ไม่ได้ยิน คืนนั้นพวกเราก็เข้านอน พอประมาณตีสาม ผมได้ตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำผมก็ได้ยินเสียง
คนวิ่งไปมาอีก จึงออกมาดู พวกผู้หญิงก็นอนอยู่บนเตียง ส่วนโก๋ก็นอนอยู่ที่พื้นกับผม แต่โก๋
นอนคุมโปรงอยู่ ผมก็เดินดูรอบๆห้องและออกมาดูหน้าห้องก็ไม่เห็นมีอะไร แต่ผมก็ยังได้ยิน
เสียงอยู่
ผมก็รู้สึกกลัวเหมือนกัน แต่ก็ไม่เห็นอะไร จึงตัดสินใจเข้านอน ตื่นเช้ามาก็ลองเล่าให้ทั้งหมดฟัง
พวกผู้หญิงไม่รู้เรื่องอะไร แต่ที่น่ากลัวที่สุดคือโก๋เล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนตอนที่ผมตื่นและเดินไปรอบๆ
ห้องนั้น โก๋เห็นเด็กผู้ชายคนนึงเดินตามผม และเห็นเด็กหญิงอีกสองคนวิ่งไปวิ่งมาในห้อง แต่ผมไม่
เห็น และที่โก๋คลุมโปงเพราะว่าโก๋กลัวแต่ไม่กล้าทัก
สุดท้ายเราจึงย้ายออกจากโรงแรมนั้นทันที และต่อมาอีกประมาณ สองสามเดือนผมก็ได้มีโอกาส
กลับไปที่โรงแรมนั้นอีกครั้งและนอนที่ตึกเดิมแต่ชั้นหก ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่วันต่อมาที่ลอบบี้ผมที่
ยินครอบครัวหนึ่งบอกกับ pr ว่าเมื่อคืนมีเด็กวิ่งเล่นที่หน้าห้องเค้าทั้งคืน พอพนักงานถามว่าเค้าอยู่
ชั้นอะไร เค้าก็ตอบว่า ชั้น 11 ผมก็ขนลุกครับ แต่ผมก็ยังใช้บริการโรงแรมนี้อยู่แต่ไม่เอาชั้น 11 แล้วครับ
วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2556
ผีแม่ลูกอ่อนที่เกาะพีพี
มันเป็นครั้งแต่มันก็ทำให้ผมต้องบันทึกไว้ในความทรงจำไปตลอดชีวิต พูดไปก็คงไม่มีใครเชื่อผมหรอกนะครับ แต่เอาเถอะใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อผมก็จะเล่าในสิ่งที่ผมเห็นมาทั้งหมดนั่นแหล่ะครับ
ผมเห็นมากับตาผมเอง แถมยังได้นั่งคุยกันเป็นเวลานานอีกด้วยในขณะที่ผมนั่งคุยนั้นผมไม่ได้คิดว่าเธอเป็น "ผี" ผมคิดว่าเธอเป็นคน โธ่..ถ้าผมรู้ว่ากำลังนั่งคุยอยู่กับผี โฮ่ย ผมไม่เล่นด้วยหรอก
วันนั้นเป็นวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2547 คลื่นยักษ์ลูกนี้ได้สร้างความสูญเสียทำให้มีคนตายเป็นจำนวนมาก ผนังปูน ประตูไม้หักสะบั้นเพราะแรงกระแทกของคลื่นที่โถมเข้ากระทบอย่างรุนแรง
แม้ว่าคลื่นยักษ์สึนามิมันจะหันหน้ากลับสู่ทะเลพร้อมกับกวาดเอาชีวิตของคนและสัตว์เลี้ยงรวมถึงทรัพย์สินต่างๆ ลงไปด้วยก็ตาม แต่มันก็ได้ทิ้งร่องรอยแห่งความเจ็บปวดไว้ที่ยากจะลืม
ผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าห้องที่เคยหรูหราจะเปลี่ยนสภาพกลายเป็นห้องเก็บศพในช่วงระยะเวลาไม่กี่นาที ภาพที่ผมเห็นเบื้องหน้าเป็นภาพของคนจำนวนมากนอนนิ้งตัวงอ เสื้อผ้าที่สวมใส่บางคนหลุดลุ่ยเหลือแต่กางเกง
ตามความเชื่อของชาวพุทธบางกลุ่มว่าหลังจากชีวิตดับลงกว่าจะรู้ตัวเองว่าตายแล้วนั้นต้องสามวันเจ็ดวันผ่านไป ส่วนจะเป็นความจริงหรือไม่ก็มิอาจจะรับรองได้
ผมเข้าไปหาหลักฐานว่าผู้ตายนั้นเป็นใคร ถ้าถามผมว่ากลัวไหมผมบอกได้เลยว่าไม่กลัวมีแต่ความสงสารและสังเวชใจจริงๆ เท่านั้นและที่หน้าสลดใจที่สุดคือมีศพผู้หญิงคนหนึ่งอายุประมาณ 30 ปี ถือขวดนมใบหน้าฟุบอยู่กับเปลของลูกน้อย แต่ในเปลนั้นไม่มีเด็กอยู่ พวกเราค้นหาร่างของเด็กจนทั่วห้อ่งแต่ก็ไม่พบเลยสั่งให้ทีมงานออกค้นหาร่างเด็กน้อยผู้น่าสงสารอยู่หลายวันก็ไม่พบทังภายในโรงแรมและรอบนอกคาดว่าน่าจะไปติดอยู่ที่ใดที่หนึ่ง
แม้จะเหนื่อยสักเพียงใดก็ต้องทำ เพราะเราอุทิศตัวเพื่อรับใช้สังคมแล้วพอผมล้มัวลงนอนบนเตียงผ้าใบด้วยความอ่อนล้าหนังตากำลังจะปิดร่างกายต้องการพักผ่อน เวลานั้นกำลังครึ่งหลับครึ่งตื่น
พลันก็มีเสียงเด็กร้องไห้แว่วมาเสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ จผททนไม่ไหวจึงลุกขึ้นนั่งและคิดไปว่าเราคิดเรื่องเด็กน้อยนั้นมากไปหรือเปล่าหูจึงแว่วแต่ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะเสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงเด็กร้องไห้จริงๆ หูผมไม่ได้ฝาด
เพื่อความมั่นใจจึงได้ปลุกน้องอาสาสมัครคนหนึ่งที่นอนอยู่ข้างๆ ให้ตื่นผมถามว่าได้ยินเสียงเด็กร้องไหม..? คำตอบของน้องคนนั้นคือไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ผมจึงล้มตัวลงนอนต่อ คิดว่าหูแว่วไปเอง
พอจะหลับก็มีเสียงเด็กร้องไห้ขึ้นมาอีก แต่คราวนี้เสียงร้องนั้นมาอยู่ใกล้ๆ เหมือนมาร้องอยู่ข้างๆ จนผมต้องออกไปดู ผมเดินไกลออกไปจากที่พักพอประมาณเสียงเด็กร้องก็หายไป
ในขณะที่จิตของผมมันเตลิดไปไกล พลันก็ปรากฏร่างของหญิงสาววัยกลางคนอยู่เบื้องหน้าไม่กี่เมตร อยู่ในชุดนอนยืนหันหน้าออกไปทางทะเลที่เงียบสงบ ผมแปลกใจว่าทำไมเธอถึงมายืนทำอะไรตรงนี้ผมจึงถามเธอว่า
"คุณพักที่ไหนหรือครับ ดึกป่านนี้ทำไมยังไม่นอน" เธอไม่ตอบแต่ชี้มือไปยังคลื่นทะเลที่ซัดสาดเข้ากระทบหาดทราย ผมสงสัยว่าเธอหมายถึงอะไรจึงได้ถามเธอต่อว่า "มีอะไรหรือครับ"
หญิงสาวในชุดนอนปล่อยโฮโฮ..ออกมาทันที ผมจึงปลอบให้เธอทำใจให้สบาย จากนั้นเธอเงยหน้าและหันหน้ามาทางผม
"ลูกของดิฉันกำลังหิว แต่ฉันยังไม่ได้ป้อนนมลูกก็ถูกน้ำพัดลงทะเลช่วยลูกของดิฉันด้วยนะคะ..ฮือ ฮือ" ช่วงจังหวะนั้นผมคิดอะไรไม่ออกเพราะไม่รู้จะปลอบเธอยังไงดี เพราะเธอได้รับการกระทบกระเทือนจิตใจอย่างหนัก ได้แต่ปลอบใจเธอว่า
"ใจเย็นๆ ครับ ผมจะหาทางช่วยลูกของคุณเอง" แต่ผู้หญิงคนนั้นยังร้องไห้จะขาดใจไม่ยอมหยุด คุณจะให้ผมช่วยอะไรได้บ้างเพราะมันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว ผมมีทีมงานที่จะคอยช่วยเหลือคุณได้ ผมพูดให้ความหวัง แต่เธอก็ยังคงร้องไห้แต่แปลกที่เสียงของเธอรู้สึกเย็นยะเยือก ผมหันไปอีกทีก็พบว่าเธอไม่อยู่แล้วผมคิดว่าเธอคงจะกลับบ้านไปแล้ว
"ผมเดินไปริมหาดจนเวลาผ่านไป 24.15 น. แล้วสิ่งที่ผมคิดไม่ถึงก็เกิดขึ้น เมื่อปรากฎร่างเด็กน้อยอายุราว 2 ขวบ ถูกคลื่นซัดมาติดชายฝั่ง สภาพขึ้นอืดแต่เสื้อผ้ายังอยู่ครบ ผมจึงไปเรียกเพื่อนกู้ภัยพร้อมผ้าขาวมาห่อศพ ผมคิดถึงเรื่องราวที่ผู้หญิงคนนั้นออกมาตามหาลูกที่หายไปเมื่อสักครู่
เมื่อผมขอตรวจดูรายชื่อแขกที่มาพักปรากฎว่าผู้หญิงที่ถือขวดนมคือนาง มีนา อายุ30 ปี เธอมาพักกับสามีและลูกอายุ 2 ขวบ แต่ในขณะเกิดเหตุสามีของเธอออกไปทำธุระในเมืองก็เลยไม่เป็นอะไรแต่เธอกับลูกได้ถูกคลื่นซัดจนเสียชีวิตเพราะความโหดร้ายของคลื่นยักษ์สึนามิ
เป็นอันว่าผู้หญิงที่ปรากฏตัวในชุดนอนนั้นที่แท้เธอคือวิญญาณของนาง มีนา ออกมาตามหาลูกที่โดนคลื่นสึนามิสูบลงสู่ทะเลนั่นเองเธอคงรู้ว่า ชินวร เป็นหัวหน้ากู้ภัยคงช่วยลูกของเธอขึ้นจากทะเลได้
ในวันเดียวกันกับวันที่ผมได้พบศพของเด็กนั้น พ่อของเด็กได้นำหลักฐานมาแสดงว่านางมีนาและเด็กคนนั้นเป็นภรรยาและลูกของเขาเอง เพื่อที่จะนำศพไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป
วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556
ผี น.ศ. สาวบุกโรงพักแจ้งความ
คืนนั้นเวลาตี 3 แล้ว ตำรวจที่เข้าเวรทุกคนต่างก็ง่วงเต็มที่บางคนก็ออกตรวจท้องที่ดูแลความสงบเรียบร้อยตามหน้าที่ของผู้พิทักษ์สันติราษฏร์ยังไม่กลับเข้าโรงพัก ตำรวจที่เหลือก็อยู่อีกห้องหนึ่ง
สารวัตรเวรก็อยู่อีกห้องหนึ่งเพียงลำพังคนเดียวแม้หนังตามันจะปิดเพราะมันทำงานของมันมาทั้งวันแล้ว แต่ตำรวจเวรจะหลับเวรไม่ได้เป็นอันขาด จึงหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านข่าวต่างๆ
หลังจากอ่านข่าวเสร็จแล้ว ผมก็มีความรู้สึกว่าเหมือนมีใครสักคนมายืนหน้าโต๊ะทำงานผมพับหนังสือพิมพ์เก็บแล้วเงยหน้าขึ้นมอง ผมตกใจแทบช็อกเหมือนกัน
เมื่อมีผู้หญิงแต่งตัวในชุดนักศึกษาที่คอผูกเนกไทสีเทามือซ้ายจับปลายเนกไทไว้อายุประมาณ 20 ปีเหมือนนักศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากโรงพักไม่กี่เสาไฟฟ้า หน้าตาและตามเนื้อตัวมอมแมม ผมเผ้ายุ่งเหยิงเหมือนเพิ่งโดนทำร้ายมาใหม่ๆ
"เอาหล่ะเงยหน้าขึ้นมาคุยกัน คุณมีปัญหาอะไรหรือเปล่าผมอาจจะช่วยคุณได้นะ"แทนที่เธอจะเงยหน้าขึ้นกลับร้องไห้แต่เสียงของเธอต่างจากเสียงของคนธรรมดาทั่วไป เสียงนั้นเย็นชาและเย็นเยือก แต่ผมก็ไม่เอะใจ
"คุณไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาแล้วผมจะช่วยคุณได้อย่างไร" ผมพูดย้ำ แต่เธอก็ไม่ยอมพูดหรือเงยหน้าขึ้นมา
"เอาหล่ะๆ คุณใจเย็นๆ ทำใจให้สบาย ไม่ต้องกลัวนี่โรงพักไม่มีใครทำอะไรคุณได้เข้ามาใกล้ๆ แล้วนั่งบนเก้าอี้" แทนที่เธอจะทำตามเธอกลับนิ่งอยู่กับที่ แต่เงยหน้าขึ้นช้าๆ แล้วพูดขึ้นว่า
"สารวัตรขามีคนถูกขังร้องขอความช่วยเหลืออยู่ภายในตึกคณะวิทยาการจัดการ" เธอผู้มากับความเงียบกล่าวจบก็ยืนสงบอยู่กับที่ผมจึงเดินไปสั่งลูกน้องที่อยู่อีกห้องหนึ่งเพื่อจะออกไปตรวจที่เกิดเหตุ
แต่พอผมเดินกลับมานักศึกษาสาวคนนั้นก็ได้หายไปแล้วผมคิดว่าเธอคงไปเข้าห้องน้ำแต่ไปดูที่ห้องน้ำก็ไม่มีใคร ถามสิบเวรที่รักษาการณ์อยู่หน้าโรงพักก็ไม่รู้ไม่เห็นใครเดินผ่านเลย
เมื่อไปถึงสถานที่เกิดเหตุตอนนั้นอากาศกำลังขมุกขมัวแต่ก็ได้เดินตรวจตามที่ได้รับแจ้งแต่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติอาคารทุกหลังเงียบสงบจะมีก็แต่เสียงตุ๊กแกร้องถี่ผิดปกติเท่านั้น
หลังจากเดินดูจนทั่วไม่มีอะไรก็เดินทางกลับโรงพักเพื่อทำหน้าที่สารวัตรเวรต่อไปจนสว่าง พอดีตำรวจเอาหนังสือพิมมาวางบนโต๊ะ ผมได้หยิบมาดูข่าวหน้า 1 ก่อน
ผมสงสัยว่าภาพข่าว น.ศ.สาวชื่อ น.ส.เสาวภาลงบนหน้า 1 หนังสือพิมพ์ไทนรัฐ หน้าตาของเสาวภาพเหมือนผู้หญิงที่มาหาผมเมื่อคืนนี้จริงๆ ทั้งรูปร่างลักษณะ หน้าตาเป็นคนเดียวกันทำเอาผมมือไม้สั่น ขนลุกซู่ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 น.ส.เสาวภา ประชุมอายุ 22 ปี นักศึกษาคณะวิทยาการจัดการ เอกบริหารธุรกิจ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราช ผูกคอตายในบ้านเลขที่ 3/193 หมู่บ้านเคหะชุมชน อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช
เรื่องที่เป็นสาเหตุคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่เสาวภาพยายามวิ่งเต้นเพื่อกู้เงินกองทุนการศึกษามาจ่ายค่าลงทะเบียนเรียนเหลืออีก 1 ปี เธอก็จะจบหลักสูตรแล้วแต่ก็ยังไม่ได้คำตอบ
เสาวภาทำทุกวิถีทางเพื่อจะหาเงินมาลงทะเบียนเรียนขนาดยืมเพื่อนจ่ายไปให้ก่อนโดยได้ให้ความหวังกับเพื่อนที่ให้กู้เงินว่า ได้เงินที่ขอกู้จากกองทุนเมื่อไหร่จะเอาไปคืน
เสาวภาเอาเวลาไปรับจ้างหลังเลิกเรียนก็ไม่พอจ่ายค่าหน่วยกิต การรอเงินกองทุนก็ดูเหมือนจะสิ้นหวัง นอกจากจะผิดหวังเรื่องเงินกองทุนแล้ว เงินที่ยืมเพื่อนมาก็ถึงกำหนดคืน
ในช่วงนาทีนั้นเธอรู้สึกว่าหมดทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตมองอนาคตข้างหน้าดูเหมือนจะมืดมนไปหมดหาทางออกให้กับตัวเองไม่เจอยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้มจนลืมทุกอย่างแม้แต่พ่อ-แม่
หากเสาวภาคิดถึงพ่อแม่พี่น้องก่อนจะตัดสินใจทำลายชีวิตและอนาคตของตัวเอง เธอคงได้สติกลับมาหาทางแก้ไขได้ เสาวภา ณ เวลานั้นลืมข้อคิดข้อนี้
หลังข่าว... "ผีนักศึกษาสาวบุกโรงพักแจ้งความ..." แพร่กระจายออกสู่สายตาประชาชนทางหน้าหนังสือพิมพ์ ทำเอาฝ่ายรับผิดชอบเรื่องเงินกองทุนพากันเต้นผางซัดกันวุ่นน ทั้งกลัวความผิดในการปฏิบัติหน้าที่ที่ล่าช้าและผิดพลาด
ทั้งขนลุกจนพองกลัววิญญาณเสาวภานักศึกษาสาวไปปรากฏตัวที่สำนักงาน เพื่อทวงถามหาความเป็นธรรม..ตามๆ กัน..?.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)